เมื่อมหาสมุทรดูดซับความร้อนไม่ไหว โลกอาจถึงคราวอวสาน
ตั้งแต่เริ่มปี 2024 มาได้ไม่เท่าไหร่ ภาคเหนือของไทยเราก็ต้องประสบกับไฟป่า ที่มาจากการทำไร่พืชเชิงเดี่ยวจนต้องเผาในฤดูเก็บเกี่ยวเพื่อลดตุ้นทุนการเกษตร ปอดของคนไทยต้องสูดดมฝุ่นพิษทุกวันจนกลายเป็นมะเร็ง ทางภาคใต้ต้องเจอกับอุทกภัย น้ำไหลเร็วจนขนของหนีขึ้นที่ไม่สูงไม่ทัน กระทั่งเข้าสู่ฤดูร้อน ทุกพื้นที่แห้งแล้งกระทั่งผืนดินร้อนระเหิดกลายเป็นไอ จนสัตว์เล็กอย่างแมลงวันยังแทบไม่มีให้เห็น และเนื่องจากอากาศร้อนขึ้น มหาสมุทรผู้ทำหน้าที่ดูดซับอุณหภูมิของผืนดินมาตลอดจึงร้อนไปด้วย ส่งผลให้สัตว์น้ำและหญ้าทะเลที่เป็นแหล่งอาหารของท้องทะเลล้มตาย
กระทั่งข่าวที่มีคนพบไข่เต่ามีแต่เปลือกเนื่องจากไม่ถูกผสมวางทิ้งตายอยู่ในรังเพราะท้องทะเลเหลือเพียงเต่าเพศเมียที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในอุณหภูมิสูง ๆ เท่านั้นจนไม่เหลือเต่าเพศผู้มีชีวิตรอดเลย แต่อีกไม่นานคงไม่เหลือสัตว์ทะเลแม้แต่ตัวเดียว
สิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นพร้อมกันในระยะเวลาไม่กี่เดือน อาจเรียกได้ว่าโลกกำลังถึงคราวอวสานแล้วจริง ๆ
มันเลยทำให้นึกถึงภาพยนตร์เรื่อง Interstellar (2014) ขึ้นมา โลกเดิมที่มนุษย์อาศัยอยู่เริ่มไม่สามารถมีชีวิตต่อไปได้ อาหารและพืชพันธุ์ที่เคยอุดมสมบูรณ์กลับเหลือเพียงพืชเชิงเดี่ยวอย่างข้าวโพด และจะต้องเร่งเก็บเกี่ยวผลผลิตเนื่องจากอาหารมีไม่เพียงพอ ชั้นบรรยากาศบริสุทธิ์จึงมีแต่ฝุ่นควัน ทำให้นักวิทยาศาสตร์ต้องเร่งหาดาวดวงใหม่เพื่อย้ายมนุษย์ไปใช้ชีวิตที่อื่น
บางทีในคำว่า โลกแตก ที่หมายถึงการระเบิดของโลกจนสิ่งมีชีวิตทุกอย่างดับสูญนั่นอาจเป็นเพียงเรื่องในจินตนาการเท่านั้น เพราะความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้คือธรรมชาติทุกอย่างบนโลกเริ่มแปรเปลี่ยน ใกล้ตัวที่สุดคือไทยเราเองนี่แหละ ทุกคนย่อมรู้สึกว่าหน้าร้อนนี้มันร้อนแบบผิดปกติ ร้อนจนไม่สามารถเดินออกไปกลางแดดได้ ร้อนจนกระทั่งนั่งตากพัดลมยังรู้สึกเหมือนโดนเป่าด้วยไดร์ขนาดยักษ์
แม้แต่กรมอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ยังแจ้งเตือนเกี่ยวกับสภาพอากาศของภูมิภาคเอเชียว่าหลายประเทศในภูมิภาคนี้ต้องเผชิญกับอากาศที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมกับการเกิดภัยแล้ง คลื่นความร้อนไปจนถึงน้ำท่วมและพายุ
ใช่แล้ว นี่คือ Climate Change ยังไงล่ะ ก่อนหน้านี้เรายังมองว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวและคิดว่าคงไม่มีผลกระทบต่อตัวเราในอีกสิบหรือยี่สิบปีข้างหน้าหรอก ซึ่งปัจจุบันนี้กลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่คิดไว้อย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแค่สิบหรือยี่สิบปีข้างหน้าเท่านั้น แต่มันอาจเป็นภายในปีสองปีนี้หรือตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป เราจะเริ่มเห็นสิ่งมีชีวิตทุกชนิดไม่เว้นแม้แต่มนุษย์เองจะไม่สามารถอยู่ได้เพราะขาดอาหารที่เคยอุดมสมบูรณ์ และต้องทรมานกับสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนเดิม
แน่นอนว่าภัยพิบัติขนาดมหึมานี้ สองมือของมนุษย์เพียงคนเดียวย่อมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ทันที โลกคือบ้านหลังเดียวและอาจจะเป็นหลังสุดท้าย หากความเป็นไปได้ที่จะสามารถย้ายไปอาศัยอยู่บนดาวดวงอื่นอย่างในภาพยนตร์นั้นยังคงเท่ากับศูนย์ ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่คือทุกองค์กรทุกภาคส่วนตั้งแต่ระดับบนลงล่างต้องร่วมมือเพื่อกำหนดนโยบายแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง สร้างความตระหนักรู้ถึงการเกิด Climate Change อย่างเป็นรูปธรรม
แม้ว่าช่วงปีที่ผ่านมานี้จะมีแคมเปญลดโลกร้อนจากองค์กรต่าง ๆ อย่างการแจกถุงผ้า ลดการใช้ถุงพลาสติก หรือรณรงค์ใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด แต่ความร่วมมือของประชากรโลกเพียงอย่างเดียวไม่อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงได้เทียบเท่ากับความร่วมมือจากนายทุนภาคอุตสาหกรรมที่มีกระบวนการผลิตและทิ้งสารเคมีลงแหล่งน้ำหรือปล่อยควันพิษขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ
เพราะแท้จริงแล้ว ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากประชากรส่วนใหญ่ แต่มาจากคนส่วนน้อยที่มีอำนาจควบคุมเศรษฐกิจและการเมืองต่างหาก หากภาครัฐสามารถควบคุมมากพอ โลกใบนี้ก็ยังสามารถกลับมาน่าอยู่ได้
---
ที่มา
THE MATTER: อุตุนิยมวิทยาโลกชี้ เอเชีย เป็นทวีปที่ได้รับผลกระทบจาก Climate change มากที่สุดในโลก
THE STANDARD: มนุษยชาติมีเวลาอีกแค่ 5 ปี ก่อนเผชิญวิกฤตโลกรวนที่ไม่อาจย้อนกลับ
---
About the author: ฬ. Jula