ทำแผนอ่านหนังสือ Cornell Method : เทคนิคดี ๆ ที่พี่อยากให้ลอง!
น้อง ๆ ที่กำลังเตรียมสอบคงเคยประสบปัญหากับการอ่านหนังสือแบบไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน จดบันทึกแล้วก็จำอะไรไม่ค่อยได้ แถมเวลาทบทวนยังต้องอ่านซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ ถ้าน้อง ๆ เจอปัญหานี้ พี่ขอแนะนำ Cornell Method หรือวิธีการจดบันทึกแบบคอร์เนลล์ที่ช่วยให้น้อง ๆ วางแผนการอ่านและเตรียมสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ Cornell Method ไม่ได้เป็นแค่เทคนิคการจดบันทึกเท่านั้น แต่มันยังสามารถเปลี่ยนการอ่านของน้องให้มีระบบและช่วยเพิ่มความจำได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย! มาลองดูกันดีกว่าว่า Cornell Method คืออะไร และจะนำไปใช้สร้างแผนการอ่านอย่างไรให้เวิร์คกันนะ!
Cornell Method คืออะไร?
Cornell Method เป็นเทคนิคการจดบันทึกที่พัฒนาโดย Dr. Walter Pauk แห่ง Cornell University มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้น้อง ๆ จดจำเนื้อหาได้ดีขึ้นและทบทวนได้ง่ายขึ้น โดยมี
โครงสร้างหลัก 3 ส่วน คือ
ส่วนหัวข้อ (Cue Column) เป็นช่องเล็ก ๆ ทางด้านซ้ายของกระดาษ สำหรับเขียนหัวข้อ คำถาม หรือคีย์เวิร์ดที่สำคัญ
ส่วนเนื้อหา (Note-Taking Area) เป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของกระดาษสำหรับจดบันทึกเนื้อหาหลัก ๆ ที่ได้อ่านหรือฟังมา
ส่วนสรุป (Summary) ส่วนล่างสุดของหน้า ใช้สรุปเนื้อหาสำคัญที่น้องได้จดมา
การใช้ Cornell Method นี้จะช่วยให้การจดบันทึกเป็นระบบมากขึ้น ช่วยให้การทบทวนเนื้อหาก่อนสอบกลายเป็นเรื่องง่าย น้องไม่ต้องกลับมาอ่านทุกอย่างทั้งหมด แค่ดูหัวข้อ คีย์เวิร์ด และสรุปก็เพียงพอแล้ว
ประโยชน์ของการใช้ Cornell Method ในการอ่าน
พี่อยากให้น้องเข้าใจว่า Cornell Method ไม่ได้ช่วยแค่ในเรื่องการจดโน้ต แต่ยังช่วยสร้างแผนการอ่านที่ดีอีกด้วย โดยมีประโยชน์หลัก ๆ ดังนี้
- เพิ่มประสิทธิภาพในการจำและเข้าใจเนื้อหา
Cornell Method ช่วยให้น้องแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วน ๆ จึงทำให้สมองเราทำงานได้ง่ายขึ้นในการประมวลผลข้อมูล แถมการทบทวนผ่านหัวข้อหรือคำถามที่เขียนไว้ใน Cue Column ก็จะช่วยกระตุ้นการจำได้ดีขึ้นอีกด้วย - จดบันทึกเป็นระเบียบและเข้าใจง่าย
หลายคนชอบจดบันทึกแบบยาวเหยียด ซึ่งทำให้มองแล้วงงและหาคำสำคัญไม่เจอ แต่ถ้าน้องใช้ Cornell Method จะทำให้โน้ตของน้องดูเรียบร้อย แบ่งส่วนชัดเจน เข้าใจง่าย ทำให้การกลับมาทบทวนภายหลังสะดวกมากขึ้น - ช่วยในการทบทวนก่อนสอบ
ความพิเศษของ Cornell Method คือการมีส่วน Cue Column และ Summary ที่ช่วยให้ทบทวนเนื้อหาได้รวดเร็ว น้องไม่ต้องเสียเวลาค้นหาข้อมูลจากเนื้อหาทั้งหมด เพราะสามารถดูคำถามหรือคีย์เวิร์ดใน Cue Column เพื่อทบทวนเนื้อหาได้เร็วขึ้น
ขั้นตอนการสร้างแผนการอ่านด้วย Cornell Method
ตอนนี้มาถึงขั้นตอนสำคัญ นั่นก็คือการสร้างแผนการอ่านด้วย Cornell Method น้องสามารถทำตามขั้นตอนเหล่านี้ได้เลย:
- ตั้งเป้าหมายในการอ่าน
ขั้นตอนแรกคือการตั้งเป้าหมายว่าน้องต้องการอ่านอะไร และจะอ่านทำไม เช่น เตรียมตัวสอบ หรือทบทวนบทเรียน จากนั้นให้จัดลำดับความสำคัญของเนื้อหาที่จะอ่านก่อนหรือหลัง - สร้างตารางการอ่าน
การแบ่งเวลาในการอ่านเป็นสิ่งสำคัญ น้องควรแบ่งเวลาให้พอเหมาะกับแต่ละหัวข้อที่ต้องอ่าน จัดเวลาให้มีช่วงพักบ้างระหว่างการอ่านเพื่อไม่ให้เหนื่อยเกินไป ที่สำคัญคือกำหนดวันสำหรับการทบทวนเนื้อหาที่จดไว้ด้วย - การจดบันทึกด้วย Cornell Method
ตอนอ่านหนังสือ น้องควรใช้กระดาษหรือแอปที่สามารถแบ่งหน้าโน้ตเป็นส่วน ๆ ตามโครงสร้างของ Cornell Method จดบันทึกคีย์เวิร์ดและหัวข้อสำคัญใน Cue Column และจดเนื้อหาหลักใน Note-Taking Area สุดท้ายจบด้วยการสรุปเนื้อหาสั้น ๆ ใน Summary เพื่อให้ทบทวนง่ายขึ้น
เทคนิคเพิ่มเติมในการใช้ Cornell Method ให้มีประสิทธิภาพ
Cornell Method จะช่วยน้องได้มากขึ้นถ้ารู้เทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการปรับใช้
1. ใช้สีในการจดโน้ตเพื่อแยกหัวข้อสำคัญ
การใช้ปากกาสีหรือปากกาเน้นคำจะช่วยให้น้องแยกหัวข้อและคีย์เวิร์ดได้ชัดเจนขึ้น สีสันต่าง ๆ ยังช่วยให้การทบทวนดูไม่น่าเบื่อและช่วยให้จำได้ดียิ่งขึ้น
2. การทบทวนโน้ตหลังการอ่านทุกครั้ง
หลังจากจดโน้ตเสร็จ น้องควรใช้เวลาสักครู่ในการทบทวนว่าได้อะไรจากการอ่านไปบ้าง ลองตอบคำถามหรือใช้คีย์เวิร์ดใน Cue Column เป็นตัวช่วยกระตุ้นความจำ ถ้าน้องสามารถอธิบายเนื้อหาเองได้โดยไม่ต้องกลับไปอ่าน นั่นแปลว่าน้องเข้าใจเนื้อหาดีแล้ว
สรุปประโยชน์และความสำคัญของการสร้างแผนการอ่านด้วย Cornell Method
Cornell Method เป็นวิธีที่น้อง ๆ ควรลองใช้ในการสร้างแผนการอ่านและเตรียมสอบ พี่เชื่อว่าน้องจะสามารถจดบันทึกได้อย่างเป็นระบบ เข้าใจง่าย และทบทวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ยังช่วยลดความเครียดในการอ่านหนังสือก่อนสอบได้เยอะเลย
___________________________________________________________________________
ไม่ว่าน้องจะต้องเตรียมสอบครั้งไหนหรือเตรียมตัวทบทวนบทเรียน การมีแผนการอ่านที่ดีและมีประสิทธิภาพคือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้น้องสอบผ่านได้แบบชิล ๆ หวังว่าน้อง ๆ จะได้ลองใช้เทคนิคนี้แล้วเจอผลลัพธ์ที่ดีนะ